กลยุทธ์​การเทรด: เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่คืออะไร

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) คืออะไร

MA เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ใช้กันมากที่สุด โดย MA คือผลเฉลี่ยของราคาที่ผันผวน เป็นธรรมชาติที่ตลาดจะมีการปรับขึ้นลงซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนและอาจหลอกได้แม้กระทั่งนักลงทุนที่มีประสบการณ์ MA จึงเป็นสิ่งที่ช่วยแยกแยะระหว่างการปรับตัวของตลาดที่เกิดขึ้นจริงๆกับแค่ความผันผวนเล็กน้อย

MA จะถูกคำนวนโดยนำค่าเฉลี่ยจากราคาที่ปิดในช่วงเวลาหนึ่งบนกราฟ ซึ่งมักจะเป็นลักษณะนี้

 

 

MA นั้นก็เหมือนตัวชี้วัดอื่นๆที่ใช้ในการคาดคะเนราคา นักเทรดบางคนอาจจะสามารถบอกได้ว่าตลาดจะเป็นไปในทางไหนโดยดูจากความชันของ MA บางคนก็ใช้ Ma เป็นแนวรับหรือแนวต้าน และบางคนก็ดูจุดที่ MA ตัดกัน แน่นอนว่าไม่มีวิธีใดที่จะสามารถคาดคะเนได้อย่างแน่นอนแต่หากคุณรู้กลยุทธมากขึ้นเรื่อยๆคุณก็จะสามารถคาดคะเนได้ดีขึ้น ซึ่งเราจะพูดกันอีกครั้งภายหลัง

ปกติเส้น Ma ที่ไหลไปเรื่อยๆนั้นจะมีผลต่อราคาน้อย และแน่นอนว่าหากมันหักหัวก็หมายความว่ามันมีผลต่อราคามาก อย่างไรก็ตามเส้น MA ที่ใช้เวลามากกว่าจะมีกราฟที่ดูไหลลื่นและน่าเชื่อถือได้มากกว่า (มีโอกาสน้อยที่จะเกิด Break out ปลอมๆหรือ Fakeout)

 

 

ควรจะใช้ MA ที่ช่วงเวลาเท่าไหร่

โดยทั่วไปแล้วช่วงเวลาของ MA ที่ใช้คือ 50,100, 200  แต่ก็มีนักเทรดมากมายที่ใช้ 8,12,25 เช่นกันแล้วเราควรจะใช้ Ma ที่เท่าไหร่ดี

สิ่งที่คุณควรรู้คือยิ่งคุณใช้ช่วงเวลาที่น้อยเท่าไหร่หมายความว่าคุณจะมีข้อมูลที่น้อยสำหรับ MA ที่คุณคำนวนได้ นั้นหมายความว่า MA นั้นจะค่อนข้างอ่อนไหวมากกับราคา ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การใช้ Ma ที่มีความอ่อนไหวทำให้คณสามารถรู้ได้ถึงเทรนที่เปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามคุุณอาจจะโดนหลอกจากการ Fake Out ได้บ่อยขึ้น ซึ่งมันตรงกันข้ามกับการใช้ Ma ที่มีช่วงเวลาที่ยาวกว่า 

คำเตือน Fake out สามารถเกิดขึ้นได้กับตัวชี้วัดทุกประเภท การใช้ช่วงเวลาที่นานกว่านั้นหมายความว่าคุณจะมีข้อมูลที่มากกว่า 

การใช้ MA ในช่วงเวลาเดียวนั้นอาจจะทำให้ยากต่อการคาดเดาราคา อย่างไรก็ตามนักเทรดส่วนใหญ่นั้นจะ ใช้ MA ทั้งช่วงสั้นและยาวในเวลาเดียวกัน

 

MA แบบพื้นฐานและแบบ Exponential

เราคงจะไม่ทำให้คณเบื่อด้วยการบอกว่า SMA หรือ EMA นั้นถูกคำนวนอย่างไร หากคุณอยากรู้ลองค้นดูใน Google 

อย่างไรก็ตามเราจะอธิบายเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของแต่ละอย่าง เริ่มจากแบบพื้นฐานอย่าง SMA ซึ่ง SMA จะค่อนข้างมีความสัมพันธ์ต่อราคาน้องและมักจะมีกราฟ MA ที่ดูไหลลื่น  SMA นั้นใช้ได้ดีกับช่วงเวลาที่นานและบอกภาพรวมแก่เรา ข้อดีของการที่มันมีความสัมพันธ์ต่อคือโอกาสการเกิด Fake out นั้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ EMA แต่ข้อเสียคือ การที่กราฟ SMA อยู้ในขาลงนั้นส่งผลต่อราคาน้อย ทำให้คุณอาจจะพลาดราคาที่ดีที่สุดไป 

ถ้าคุณต้องการให้ MA นั้นสัมพันธ์อย่างอ่อนไหวกับราคา EMA อาจจะเหมาะกับคุณมากกว่า เพราะมันสามารถทำให้คุณระบุเทรนได้เร็วขึ้น ซึ่งอาจทำให้คุณได้กำไรมากขึ้น ซึ่งยิ่งคุณจับเทรนได้เมื่อไหร่คุณยิ่งทำกำไรได้เร็วเท่านั้น ข้อเสียคือคุณอาจจะเจอกับ Fakeout ได้ง่ายโดยเฉพาะในช่วงกราฟผันผวน

 

 

ตารางด้านล่างนี้จะช่วยสรุปข้อมูลให้ :

 

 

ทีนี้เราก็มาถึงคำถามว่า อะไรหละดีกว่า

คำตอบนี้คือขึ้นกับกนักเทรดส่วนบุคคล นักเทรดบางคนนั้นทำได้ดีในช่วงเวลาสั้นๆส่วนบางคนก็ทำได้ดีในระยะยาว ซึ่งส่วนใหญ่นักเทรดนั้นเริ่มจากทดลองทั้งสองแบบจนกว่าพวกเขาจะเจอกับสิ่งที่เขาชอบ

นักเทรดมากมายที่ใช้ MA ทั้งสองแบบเพื่อให้อ่านภาพรวมได้ MA ที่ยาวกว่านั้นใช้บอกเทรนโดยรวม ส่วน MA ระยะสั้นนั้นใช้สำหรับหาจุดเข้าซื้อขายที่ดี

 

บทความถัดไปเราจะเล่าถึงกลยุทธในการใช้ MA แบบต่างๆ แล้วพบกัน

 

You might also like

---

More from บล็อกเชน

---