ทำความรู้จัก Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement คือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยในการหาแนวรับและแนวต้านของราคาที่มีแนวโน้มชัดเจนทางใดทางหนึ่ง ตามทฤษฎีได้อธิบายว่าหากราคามีการเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง มักจะมีการย่อตัวหรือเปลี่ยนแปลงเล็กกน้อยก่อนที่จะกลับไปเคลื่อนไหวในทิศทางเดิม ผู้ที่เป็นเทรดเดอร์สามารถใช้ Fibonacci Retracement ร่วมกับเครื่องมือเทคนิคอื่นเพื่อใช้หาระดับของแนวรับแนวต้านในการซื้อขาย
สิ่งแรกที่ต้องรู้ก่อนที่จะใช้เครื่องมือ Fibonacci ในขณะที่ตลาดกำลังมีเทรนด์ เราสามารถเข้าซื้อได้หากราคามีการย่อตัวลงมาบนแนวรับในขณะที่ตลาดกำลังอยู่ในภาวะขาขึ้นและสามารถขายที่แนวต้านในขณะที่ตลาดกำลังเป็นขาลง เป็นไปตามแนวคิดที่ว่าหากราคามีการเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มจะมีการพักตัวระหว่างทางเสมอก่อนจะปรับตัวขึ้นหรือลงต่อ
การปรับใช้ Fibonacci กับกราฟเทคนิค เราจำเป็นที่จะต้องเลือกจุดที่มีการสวิงตัวขึ้นหรือสวิงตัวลง ส่วนของจุดที่สวิงตัวขึ้นจะต้องเป็นกราฟแท่งเทียนอย่างน้อยสองจุดที่ทำ lower highs ทั้งซ้ายและขวา ส่วนจุดที่สวิงลงจะต้องเป็นกราฟแท่งเทียนที่ทำ higher lows ทั้งทางซ้ายและขวา
การลากเส้น Fibonacci เริ่มจากการคลิ๊กที่จุดสวิงลงและลากขึ้นไปหาจุดสวิงขึ้นในขณะที่ราคาอยู่ในทิศทางขาขึ้น (ตามภาพประกอบ) ขณะที่หากราคาเป็นขาลงให้ลากจากจุดสวิงขึ้นไปหาจุดสวิงลง
จากภาพจะเห็นว่าระดับของ Fibonacci Retracements จะอยู่ที่ 303,804.71 THB (0.236), 293,583.53 (0.382), 285,322.58 (0.5), 277,061.63 (0.618) และ 265,300.28 (0.786).
ระดับตัวเลขดังกล่าวของ Fibonacci Retracements จะเป็นจุดที่เทรดเดอร์ใช้เป็นแนวรับและแนวต้านและใช้ในการคาดการณ์ราคาได้ด้วย จากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าราคาได้ลงมาถึงระดับ 0.382 ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่อเป็นแนวโน้มขาขึ้น
อย่างไรก็ตามจำไว้เสมอว่า แนวรับและแนวต้านตาม Fibonacci ไม่ได้การันตีว่าจะถูกต้อง 100% บ่อยครั้งที่ราคาวิ่งผ่านทั้งแนวรับและแนวต้านออกไปเลย จากรูปภาพข้างล่างได้แสดงให้เห็นว่าราคาได้ทะลุลงผ่าน Fibonacci retracement ที่ระดับ 0.5 ก่อนจะลงมาถึงระดับ 0.786. โดยทะลุผ่านระดับ 0.618 ลงมาเลย
แม้ว่าเราจะไม่สามารถใช้ Fibonacci บ่งบอกได้ทั้งหมด 100% ว่าแนวโน้มยังอยู่ในขาขึ้นหรือไม่ เรายังสามารถใช้อินดิเคเตอร์ (มาตรวัด) อื่นๆ มาช่วยพิจารณาประกอบได้ ถ้าคุณสังเกตุในภาพประกอปชาร์ตที่ 4 แม้ว่าราคาจะหลุดลงมาถึงระดับ Fibonacci 0.318 แต่ราคาก็ยังยืนอยู่ได้ด้วยอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ทั่วไปแล้ว Fibonacci retracement จะถูกใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นอย่างแนวรับแนวต้าน เส้นเทรนด์ไลน์, เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ Relative Strength Index (RSI), Stochastic, MACD และอื่นๆ
แต่ไม่ว่าคุณจะใช้อินดิเคเตอร์ใดๆ ก็ตาม ต้องเข้าใจต้องมีสักวันที่เราจะต้องขาดทุน เมื่อถึงเวลานั้นอย่าลืมที่จะต้องมีวินัยในการตัดขาดทุนทุกครั้ง ขอให้โชคดีในการเทรด!!
You might also like
More from บล็อกเชน
มาทำความรู้จัก DeFi Protocol โลกการเงินไร้ศูนย์กลางกัน
DeFi Protocol คืออะไร ? ระบบการเงินไร้ศูนย์กลางหรือ DeFi (Decentralized Finance) เกิดขึ้นในช่วงปี 2020 และกลายเป็นหนึ่งใน Narrative สำคัญของโลกสินทรัพย์ดิจิทัลนับตั้งแต่ตอนนั้นและยังคงเป็นหนึ่งในเซกเตอร์ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง ทั่วไปแล้ว ระบบการเงินจะต้องมีศูนย์กลางอยู่ที่สถาบันการเงินอย่างเช่นธนาคารซึ่งเป็นผู้จัดการดูแลเงินของลูกค้าทั้งหมด แต่การทำงานของ DeFi จะไม่รวมศูนย์กลางอยู่ที่ใครคนหนึ่งแต่จะมีตัวกลางที่ทำหน้าที่ให้บริการการเงินโดยไม่เข้าไปจัดการกับเงินของลูกค้าได้ซึ่งเรียกว่า DeFi Protocol DeFi มีการให้บริการการเงินที่ใกล้เคียงกับระบบการเงินดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยกู้ …
ปลดล็อกรางวัลสุดเอ็กซ์คลูซีฟด้วย Freedom Shards!
เข้าสู่โลกแห่งรีวอร์ดของ Shards! ดูลิสต์รายการสิทธิพิเศษที่มีตั้งแต่รางวัลดิจิทัลไปจนถึงรีวอร์ดในชีวิตประจำวัน นี่เป็นเพียงแค่รางวัลเซ็ตแรกเท่านั้นและยังมีรางวัลที่น่าสนใจอีกเพียบที่จะมาตามในเร็วๆนี้ อย่ารอช้า ดาวน์โหลดแอป Freedom World เพื่อรับ Freedom Shards ได้แล้วตอนนี้! Tesla model Y มูลค่าที่ใช้แลก: 740,000 FDS iPhone 15 Pro Max 256GB …
พัฒนาการเทรดง่ายๆด้วยตัวเอง เพียงแค่บันทึกและวัดผลทุกครั้งที่เทรด
นักเทรดที่ต้องการจะพัฒนาฝีมือของตัวเองให้ก้าวหน้าขึ้นหรือต้องการจะยกระดับความสามารถของตัวเอง จำเป็นที่จะต้องมีการบันทึกผลการเทรดและนำสถิติที่เกิดขึ้นมาประมวลผลเพื่อปรับปรุงการเทรดของตัวเองเสมอซึ่งสถิติที่เราจะต้องนำมาวิเคราะห์ต่อประกอบไปด้วยข้อมูลดังนี้ ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงหรือ Profit And Lose (PnL) คือตัวชี้วัดความสามารถในการเทรดที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม นักเทรดควรที่จะบันทึกผลกำไรขาดทุนตามช่วงเวลาที่ต่างกันเช่น รายสัปดาห์ รายเดือนและรายปี รวมถึงต้องหาค่าเแลี่ยผลตอบแทนในระยะยาวด้วยเพื่อที่จะวัดว่าเรามีความสามารถในการเทรดที่เสถียรหรือมีความต่อเนื่องแค่ไหน เพราะถ้าหากทำกำไรได้ระดับสูงแต่เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ยังไม่ถือว่ามีความสามารถในการรักษาระยะการทำกำไรในระยะยาว ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นเทียบกับภาพรวมตลาด อีกหนึ่งตัวชี้วัดที่บ่งบอกว่าเราจะมีความสามารถในการเทรดเหนือกว่าผู้อื่นจะต้องนำผลตอบแทนที่เกิดขึ้นมาเทียบกับผลตอบแทนในภาพรวมของตลาดคริปโต ถ้าหากสามารภเอาชนะผลตอบแทนของตลาดได้ในระยะเวลาหนึ่งจะถือว่าเรามีค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าเทรดเดอร์คนอื่น ทั่วไปแล้วมักจะนำผลตอบแทนของ Bitcoin มาใช้เป็นตัวเปรียบเทียบ (Benckmark) อัตราการเทรดชนะเทียบกับจำนวนครั้งที่ขาดทุน นอกจากสร้างผลตอบแทนให้ได้ระดับสูงสุดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการที่จะเทรดให้มีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่าผลขาดทุน (Win …