“โลกเสมือนจริง” ที่ทำให้เราได้สัมผัสประสบการ์ณการท่องโลกออนไลน์ราวกับเราใช้ชีวิตอยู่ในนั้นจริงๆ หรือ #Metaverse กำลังมีบทบาทมากขึ้นกับชีวิตเรา ซึ่งเกิดจากการนำเทคโนโลยีมากมายมาใช้งานอย่างสังสรรค์ เรามาทำความรู้จัก 6 เทคโนโลยีหลักที่อยู่เบื่องหลัง Metaverse กันเลย
บล็อกเชน
เทคโนโลยีบล็อกเชนคือการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ โดยมีจุดเด่นที่ความโปร่งใส กระจายศูนย์ และ ความปลอดภัย โดยมีคริปโตเคอร์เร็นซีเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนคุณค่าบนโลกเมตาเวิร์ส เช่น MANA สามารถใช้ซื้อไอเทมต่างๆ ซื้อพื้นที่ใน Decentraland ซึ่งบล็อกเชนจะทำหน้าที่ยืนยันความเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์
AI หรือปัญญาประดิษฐ์
AI จะช่วยให้โลกเมตาเวิร์สมีความต่อเนื่องและรื่นไหลอย่างลงตัวได้ ทั้งช่วยประมวงผลการทำงานต่างๆของระบบหรือภาพการเคลื่อนที่ เช่นเทคโนโลยีของ NVIDIA ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างพื้นที่บนโลกเสมือนให้เกิดการสมจริงที่สุดเมื่อผู้ใช้งานเข้ามาพบปะกัน
Internet of things หรือ IoT
IoT คือการที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องป้อนข้อมูล ซึ่งแม้เราจะอยู่ในโลกเสมือนแต่ก็ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในโลกจริงได้ ซึ่งทำให้ระบบมีข้อมูลของเรามากยิ่งขึ้นในการที่จะเข้าใจว่าเราต้องอะไรในเวลาไหน ส่งผลให้ระบบมีความรู้ใจเราและเลือกสิ่งต่างๆได้ตรงใจเรามากยิ่งขึ้นนั่นเอง
Augmented and virtual reality (AR&VR)
การใช้ AR และ VR ก็เพื่อช่วยให้เราได้เข้าถึงเมตาเวิร์สได้เหมือนกับที่ AI ทำ ซึ่งพูดง่ายๆก็คือ AR ทำให้วัตถุต่างๆที่อยู่ในโลกเสมือนและสามารถซ้อนทับกับสภาพแวดล้อมจริงๆได้ ส่วน VR ทำให้คุณเข้าไปอยู่ในโลกเสมือน 3 มิติได้ ซึ่งอุปกรณ์แว่น VR จะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการเข้าสู่โลกเสมือน โดยทั้ง AR และ VR จะทำหน้าที่เป็นประตู่สู่โลก 3 มิติดิจิทัลนั่นเอง
โมเดล 3 มิติ
โมเดล 3 มิติ คือระบบที่สร้างวัตถุหรือสิ่งต่างๆให้มีความสมจริงเพื่อให้ผู้ที่เข้าใช้งานมีความรู้สึกและมีอารมณ์ร่วมมากที่สุด อย่างเช่น เกม The Sandbox (SAND) ที่สร้างโมเดล 3 มิติให้ผู้เล่นรู้สึกว่าอยู่ในโลกนั้นจริงๆได้ ซึ่งเมตาเวิร์สต้องทำให้คนที่เข้าใช้งานสัมผัสความรู้สึกได้แบบนั้น
เอดจ์คอมพิวติ้ง
เอดจ์คอมพิวติ้ง (Edge computing)จะทำหน้าที่ช่วยในการเชื่อมต่อข้อมูลให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยจะช่วยในการเลือกใช้หน่วยประมวลผลในคลาวด์ที่เหมาะที่สุด เช่น อยู่ใกล้ต้นทางของข้อมูลมากที่สุด เพื่อความเร็วที่สูงขึ้นในการเข้าถึงข้อมูล โดยยังช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ได้ด้วย
ในอนาคตอันใกล้เราอาจเห็นโลกเมตาเวิร์สเข้ามาแทนที่กิจกรรมในชีวิตจริงหลากหลายขึ้น เช่น ออฟฟิศในโลกเสมือน คอนเสิร์ต พื้นที่พบปะสังสรรค์ แฟชั่น แต่ถึงแม้ปัจจุบันเมตาเวิร์สจะเป็นที่กล่าวถึงในวงกว้าง ก็ยังมีความท้าทายในการพัฒนาและทำให้คนจำนวนมากเข้าสามารถเข้าถึงได้ รวมทั้งความปลอดภัยทางไซเบอร์
หากเพื่อนๆยังไม่เคยสัมผัสประสบการ์เมตาเวิร์ส บิทาซซ่าขอเชิญเพื่อนๆมาสัมผัสประสบการณ์เมตาเวิร์สกับเราได้ผ่าน Bitazza Virtual Branch สาขาโลกเสมือน กับทีมบริการลูกค้าสัมพันธ์ที่พร้อมคอยดูแลช่วยเหลือชาวบิทาซซ่าทุกคนไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน! 👉🏻 https://bit.ly/3KUUoBr
*Bitazza Virtual Branch จะเปิดให้บริการ วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 – 18.00 น.
ข้อมูลจาก
https://cointelegraph.com/explained/the-key-technologies-that-power-the-metaverse
คำเตือน: สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
You might also like
More from บล็อกเชน
Ethereum 2.0 : Sharding
หลังจากที่ The Merge การอัปเกรดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Ethereum ได้จบลงไปแล้ว ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนจากระบบ Proof-of-work (PoW) เป็น Proof-of-stake (PoS) ที่ส่งผลให้การประมวลผลธุรกรรมไวขึ้นและลดค่าธรรมเนียมลง แต่นี้ยังห่างไกลกับแผนการอัปเกรด Ethereum 2.0 ที่ Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง …
Soft Fork VS Hard Fork
จากเมื่อวานการอัพเกรด Bellatrix Consensus Layer Upgrade ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการอัปเกรด Hard fork เข้าสู่ “The Merge” เรามาดูกันดีกว่าว่าจริงๆแล้วการ Fork คืออะไรและทำงานอย่างไร การ Fork คืออะไร ? การ Fork เป็นเรื่องปกติเมื่อผู้คนในชุมชนต้องการทำการเปลี่ยนแปลงโปรโตตอลของบล็อกเชนหรือชุดกฎกติกาพื้นฐาน โดยเมื่อเกิดขึ้นแล้วสายของบล็อกเชนจะแยกออกเป็นสายที่ …
เส้นทางจาก Ethereum 1.0 สู่ 2.0
จุดสำคัญของการอัปเกรด Ethereum 2.0 “The Merge” คือการควบรวมเครือข่ายปัจจุบัน (Mainnet) และ เครือข่าย Beacon เข้าด้วยกันด้วยการหยุดใช้ PoW เปลี่ยนเข้าสู่ PoS เต็มตัว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นความตั้งใจท่ีวางแผนมาตั้งแต่เริ่มแรก! ซึ่งโปรเจกต์ใหญ่อย่าง Ethereum ที่ใหญ่และเป็นรองเพียง …